Hamutaro - Hamtaro 3

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
วันจันทร์ ที่ 15 กุมภาพนธ์ 2559

เนื้อหา
หมายเหตุ :: ศึกษาด้วยตนเองในวันนี้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศึกษาด้วยตนเอง

วัน พฤหัสบดี ที่ 18 กุมภาพนธ์ 2559

ภาพกิจกรรม
              







ความรู้ที่ได้รับ
       เด็กปฐมวัยทุกคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก ครู อาจารย์ ควรศึกษาพฤติกรรมบ่งชี้ (สมรรถนะ) ด้วยความเข้าใจ และไม่ควรถือว่าพฤติกรรมบ่งชี้เหล่านี้ เป็นแบบประเมินเด็ก เสมือนลักษณะการสอบตก สอบได้เด็ดขาด ถ้าพบว่าเด็กบางคนมีพัฒนาการล่าช้าจากช่วงอายุก็ควรปรึกษาแพทย์ต่อไป

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
-ในการทำการเรียนการสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่สำคัญในการพัฒนากล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็กควรจัดให้เด็กในทุกๆวัน ตามลำดับความยากง่าย

ประเมินตนเอง
-ตั้งใจเรียน มีความพร้อม และเข้าใจในเนื้อหา 

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนช่วยกันแก้ปัญหา

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์มีกิจกรรมให้ตอบคำถาม ฝึกสมอง และสอนได้สนุก มีการเตรียมเนื้อหามาอย่างเข้าใจได้ง่าย 

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5
วันจันทร์ ที่ 8 กุมภาพนธ์ 2559

เนื้อหาที่เรียน

อาจารย์ผู้สอน




วัน พฤหัสบดี ที่ 11 กุมภาพนธ์ 2559

เนื้อหา
หมายเหตุ :: ศึกษาด้วยตนเองในวันนี้

อาจารย์ผู้สอน

เพื่อนๆตั้งใจมาเรียน

เซลฟี่ รวมบรรยากาศห้อง

ความรู้ที่ได้รับ
       ความสามารถทางการคิด
       ลักษณะการคิด เป็นคุณสมบัติของการคิดที่นำไปใช้ในการดำเนินการคิดควบคู่กับการคิดอื่น เพื่อให้การคิดนั้นๆ มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
       กระบวนการคิด เป็นการคิดที่ต้องดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนเพื่อช่วยในการคิดนั้นประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายของการคิด แต่ละกระบวนการคิดจะประกอบไปด้วยขั้นตอนง่ายๆ และในแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยทักษะการคิด หรือ ลักษณะการคิดจำนวนมาก
       ทักษะการคิด  ความสามารถในการคิดที่จำเป็น ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นทักษะย่อย  ที่มีกระบวนการขั้นตอนการคิดไม่มากเป็นองค์ประกอบของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน
กิจกรรมการคิดที่เด็กควรได้รับ การส่งเสริม
-ให้บอกสิ่งต่าง ๆ ตามที่กำหนดให้ได้มากที่สุด ภายในเวลา  5 นาที
-ให้บอกสิ่งต่าง ๆ ตามที่กำหนดให้ ดังต่อไปนี้ให้มากที่สุด 
-ให้คิดหาสิ่งทดแทน  
-ให้ระบุรายละเอียดของสิ่ง
-ให้คิดถึงผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ / การมีส่วนร่วม 
-ให้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่ยาวนาน

สมรรถนะทั้ง 7 ประกอบด้วย
     -การเคลื่อนไหวและสุขภาพร่างกาย
     -พัฒนาการด้านสังคม
     -พัฒนาการด้านอารมณ์
     -พัฒนาการด้านการคิดและสติปัญญา
     -พัฒนาการด้านภาษา
     -พัฒนาการด้านจริธรรม
     -พัฒนาการด้านการสร้างสรรค์


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
-ในการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะให้กับเด็กควรคำนึงถึงสมรรถนะทั้ง 7 ด้าน และคำนึงถึงความเหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย 
-จัดกิจกรรมที่เป็นคำถามจะช่วยฝึกเด็กให้เกิดการคิด และถ้าทำบ่อยๆจะฝึกให้การคิดของเด็กพัฒนา และต้องเป็นไปตามพัฒนาการของเด็กแต่ล่ะช่วงวัย


ประเมินตนเอง
-ตั้งใจเรียน มีความพร้อม และเข้าใจในเนื้อหา 

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนช่วยกันแก้ปัญหา

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์มีกิจกรรมให้ตอบคำถาม ฝึกสมอง และสอนได้สนุก มีการเตรียมเนื้อหามาอย่างเข้าใจได้ง่าย ถึงแม้วันนี้อาจารย์จะไม่ค่อยสบายแต่ก็ตั้งใจสอนจนจบ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
วันจันทร์ ที่ 1 กุมภาพนธ์ 2559

เนื้อหาในการเรียนวันนี้
เป็นการนำเสนอทฤษฏี 4 กลุ่มที่ได้รับมอบหมาย
กลุ่มที่ 1 ทฤษฏีพัฒนาการด้านร่างกาย
กลุ่มที่ 2 ทฤษฏีพัฒนาการด้านสังคม

กลุ่มที่ 3 ทฤษฏีพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์


กลุ่มที่ 4 ทฤษฏีพัฒนาการด้านสติปัญญา
อาจารย์ผู้สอน
อาจารย์คอยให้คะแนนและติชมอยู่ด้านหลัง

วัน พฤหัสบดี ที่ 4 กุมภาพนธ์ 2559

ภาพกิจกรรม


อาจารย์ให้นักศึกษาออกมาทำท่าตามเพลงคนละท่าให้เข้ากับจังหวะ



ทำท่าตามจังหวะ 10 ท่าต่อกลุ่ม นี่คือกลุ่มที่ 1 (ท่าพริ้วสวยงาม)


 ทำท่าตามจังหวะ 10 ท่าต่อกลุ่ม นี่คือกลุ่มที่ 2 (ท่าอลังการก็มา)


ทำท่าตามจังหวะ 10 ท่าต่อกลุ่ม นี่คือกลุ่มที่ 3 (ท่าสวยงามมากเลิศสุดๆ กลุ่มข้าพเจ้าเอง)


ทำท่าตามจังหวะ 10 ท่าต่อกลุ่ม นี่คือกลุ่มที่ 4 (ท่าสวยไม่มีสะดุด)

อาจารย์ให้นักศึกษาฝึกสอน โดยแต่ละคนคิดกิจกรรมเคลื่อนไหวคนละ 3 ท่า
เป็นครูต้องพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย

ความรู้ที่ได้รับ
-ทฤษฏีด้านร่างกาย เช่น
                 ทฤษฎีวุฒิภาวะของกีเซลล์ (Maturation Theory )
                 หลักพัฒนาการตามแนวคิด
        อาร์โนลด์ เกเซลล์ (Arnold Gesell 1880-1961) ใช้คำ ว่าวุฒิภาวะ (maturation) เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (pattern) และรูปร่าง (shape) ของพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากยีนส์ (genes) หรือความพร้อมของกล้ามเนื้อและระบบประสาทจะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทางพันธุกรรม ทักษะและพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันของเด็กแต่ละคนจะปรากฏในเวลาไล่เลี่ยกัน เกเซลล์ ใช้คำ ว่าวงจรของพฤติกรรม (cycles of behavior)เกเซลล์ และคณะ ศึกษาพัฒนาการของทารก เด็ก และวัยรุ่นอายุ แรกเกิด-16 ปี โดยการสังเกตพฤติกรรมด้วยตนเองจากภาพยนตร์ และการสัมภาษณ์บิดามารดา และจัดกลุ่มข้อมูลสำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานของบุคลิกภาพ (Personality profile) ได้ 10 ด้าน คือ
1. ลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก 
2. สุขนิสัยส่วนบุคคล 
3. การแสดงออกของอารมณ์  
4. ความกลัว ความฝัน
5. ความเป็นตัวของตัวเอง การแสดงออกทางเพศ
6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
7. การเล่นและการใช้เวลาว่าง
8. การเรียน
9.จริยธรรม
10. ปรัชญาชีวิต

-ทฤษฏีด้านสังคม เช่น
                 อีริคสัน เป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฎีขึ้นในแนวทางความคิดของฟรอยด์ แต่ได้เนินความสำคัญทางด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจ (Psychological Environment) ว่ามีบทบาทในพัฒนาการบุคลิกภาพมาก ความคิดของอีริคสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่า เห็นความสำคัญของ Ego มากกว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทฤษฎีจิตสังคม (Psychological Theory) ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust) 
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง (Autonomous vs Shame and Doubt) 
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt) 
ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย (Industry vs Inferiority) 
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม (Ego Identity vs Role Confusion) 
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy vs Isolation) วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น (Young Adulthood) 
ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง (Generativity vs Stagnation) 
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง (Ego Integrity vs Despair) 

-ทฤษฏีพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์
                ทฤษฎีอูต้า (AUTA) ทฤษฎีนี้เป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล โดยมีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนาความคิกสร้างสรรค์ตามรูปแบบอูต้าประกอบด้วย
              4.1 การตระหนัก (Awareness) คือ ตระหนักถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มีต่อตนเอง สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตนเองด้วย
              4.2 ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
              4.3 เทคนิควิธี (Techniques) คือ การรู้เทคนิคในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคล และเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน
              4.4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ (Actualization) คือ การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองและพยายามใช้ตนเองเต็มศักยภาพ รวมทั้งการเปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การผลิตผลงานด้วยตนเอง และมีความคิดที่ยืดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต

-ทฤษฏีพัฒนาการด้านสติปัญญา เช่น
            ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ 
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
             ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ 
          ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ 
-- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน 
-- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ 
         ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ  มี 6 ขั้น ได้แก่ 
1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น 
2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่ 
3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย 
4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้ 
5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง 
6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน

       ทฤษฎีทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ที่ใช้ในการทำกิจกรรมเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้เราสามารถนำมาจัดการเรียนรู้การเคลื่อนไหวให้กับเด็กได้ถูกต้องตามพัฒนาการแต่ล่ะช่วงวัย

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
-นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา 
-เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด 
-เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่ 
-เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ 
-เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน 
-ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง 
-ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น 

ประเมินตนเอง
-ตั้งใจเรียน มีความพร้อม และเข้าใจในเนื้อหา และเข้าใจในทฤษฎีที่กลุ่มตัวเองและเพื่อนๆได้นำเสนอไป

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนตั้งใจฟังเพื่อนๆนำเสนอ และนำเสนองานของกลุ่มตัวเองได้เป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์คอยฟังนักศึกษาและให้คำแนะนำอยู่ข้าง และคอยให้คะแนน พร้อมสรุปทฤษฏีด้านต่างๆให้นักศึกษาเข้าใจอย่างง่าย
บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
วันจันทร์ ที่ 25 มกราคม 2559

อาจารย์ผู้สอน

เนื้อหาที่เรียนในวันนี้






































วัน พฤหัสบดี ที่ 28 มกราคม 2559

                                              *หมายเหตุ* ศึกษาค้นคว้าหาคว่มรู้ด้วยตัวเอง

ความรู้ที่ได้รับ
-กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ต้องมีการเตรียมร่างกายให้พร้อมทุกส่วน เพื่อให้มีการคล่องตัว ถือเป็นการปูพื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญอย่างหนึ่ง เด็กต้องรู้ว่าร่างกายแต่ละส่วนเคลื่อนไหวอย่างไร มากน้อยเพียงใด เด็กจะต้องฝึกหัดให้เข้าใจถึงลักษณะสภาพและการใช้ร่างกายของตนเอว่าตนเองสามารถเคลื่อนไหวแต่ล่ะส่วนได้อย่างไร ร่างกายส่วนไหนเรียนว่าอะไร อยู่ตรงไหน มีขนาดสั้นยาว เล็กใหญ่ แคบกว้างอย่างไร

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- การเคลื่อนไหวมีทั้งอยู่กับที่และแบบเคลื่อนที่การจัดกิจกรรมต้องคำนึกถึงความเหมาะสม
-ควรมีกิจกรรมเคลื่อนไหวในทุกๆวัน
-ใช้การเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนให้ได้มากที่สุด
-การเคลื่อนไหวต้องให้เด็กได้ผ่อนคลายความเครียด สนุกสนานเพลิดเพลิน

ประเมินตนเอง
-ตั้งใจเรียน มีความพร้อม และเข้าใจในเนื้อหา และตอบคำถามในชั้นเรียน

ประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนช่วยกันแก้ปัญหาและตอบคำถามได้ดี

ประเมินอาจารย์
-อาจารย์มีกิจกรรมให้ตอบคำถาม ฝึกสมอง และสอนได้สนุก มีการเตรียมเนื้อหามาอย่างเข้าใจได้ง่าย